ดูดไขมัน Body Tite
นวัตกรรมการดูดไขมัน Body Tite
ปัจจุบันนี้ต้องยอมรับว่าคนส่วนใหญ่มีน้ำหนักเกิน ไขมันสะสม หรือเป็นโรคอ้วนจำนวนมาก สาเหตุเบื้องต้นมาจากพฤติกรรมการรับประทานอาหารทุกวันในแต่ละมื้อ การเผาผลาญของรางกาย และการใช้ชีวิดประจำวันก็มีส่วนสำคัญ ที่ทำให้น้ำหนักตัว และสัดส่วนของร่างกายมากขึ้น โดยที่คุณไม่ทันได้ตั้งตัวจนบางครั้งการออกกำลังกาย และการควบคุมอาหารก็ยังไม่สามารถกำจัดไขมันสะสมบริเวณต่าง ๆ ได้หมด ดังนั้นการดูดไขมันสะสมส่วนเกินจึงเป็นทางเลือกที่คนส่วนใหญ่ตอนนี้ให้ความสนใจ และทำกันเป็นจำนวนมาก ซึ่งไม่ใช่ทางเลือกเฉพาะสำหรับคนอ้วนอย่างที่ใครหลายคนเข้าใจผิดกัน ด้วยวิวัฒนาการเสริมความงามที่มีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว นอกจากเครื่องมือที่มีนวัตกรรมการ ดูดไขมัน Body Tite ที่ทันสมัยแล้ว ผู้เข้ารับการดูดไขมันสามารถเห็นผลถึงการเปลี่ยนแปลงและฟื้นตัวหลังจากการทำได้เร็วขึ้นด้วย
การดูดไขมัน Body Tite คือ
กระบวนการศัลยกรรมเพื่อความงามด้วยนวัตกรรมใหม่ที่ตอบโจทย์ลูกค้า ใช้เทคนิคในการดูดไขมันสะสมส่วนเกินในชั้นใต้ผิวหนังส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเฉพาะจุด ในบริเวณที่มีการสะสมของไขมันที่กำจัดได้ยาก เหมาะสำหรับผู้ที่มีรูปร่างและน้ำหนักตัวที่ปกติ แต่ต้องการจะมีสัดส่วนที่ดีขึ้นหรือต้องการที่จะมีสัดส่วนในแบบที่ต้องการ
ประโยชน์ของการดูดไขมัน
อย่างที่ได้แจ้งไปแล้วเบื้องต้น ไขมันสะสมบางส่วนของสำหรับบางคนนั้น ต่อให้ควบคุมอาหารหรือออกกำลังกายแล้วก็ตาม ไขมันสะสมที่เป็นส่วนเกินบริเวณหน้าท้อง ต้นแขนหรือต้นขาก็ไม่ใช่จะสลายไปได้ง่าย ๆ ดังนั้นการดูดไขมันจึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะช่วยแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ เพราะปัจจุบันนี้ด้วยเทคนิคการแพทย์และนวัตกรรมใหม่สามารถช่วยลดปัญหาไขมันสะสมแต่ละส่วนในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้คุณมีรูปร่างที่ได้สัดส่วน และช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับคุณมากยิ่งขึ้น
ใครที่เหมาะกับการดูดไขมัน
ตามหลักการแพทย์แล้วการดูดไขมัน เหมาะสำหรับผู้ที่มีรูปร่างและน้ำหนักตัวที่ปกติ ไม่อ้วนจนเกินไปอาจท้วมได้เล็กน้อย แต่มีไขมันสะสมเฉพาะส่วน เช่น หน้าท้อง ต้นแขน ต้นขา เป็นต้น
ใครที่ (ไม่) เหมาะกับการดูดไขมัน
อาจจะดูขัดแย้งสักหน่อยแต่ความเป็นจริงแล้ว ผู้ที่ไม่เหมาะกับการดูดไขมัน คือคนที่มีภาวะโรคอ้วน เนื่องมาจากเทคนิคและวิธีดูดไขมันนี้ จะไปเพิ่มอัตราความเสี่ยงให้กับโรคประจำตัวได้ เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ฯลฯ ถึงแม้ว่าจะเป็นการดูดไขมันเฉพาะส่วนแค่ต้นแขนหรือต้นขาก็ตาม แต่สำหรับใครที่มีความสงสัยว่าตนเองจัดอยู่ในกลุ่มใด สามารถดูดไขมันได้หรือไม่ สามารถโทรติดต่อสอบถามขอข้อมูลรายละเอียดเพิ่มเติมโดยตรง ทางทศแพทย์ยินดีให้คำปรึกษาค่ะ
การดูดไขมันมีกี่วิธี
การดูดไขมันมีอยู่ 5 วิธีด้วยกัน โดยแต่ละประเภทจะมีลักษณะที่ต่างกันออกไป ดังนี้
1. การดูดไขมันด้วย Vaser ถือเป็นเครื่องสารพัดประโยชน์เครื่องหนึ่ง สามารถทำได้ทั้ง อัลตร้าซาวด์ เพราะเครื่องนี้ให้พลังงานความร้อน สามารถสลายไขมันหรือดูดไขมันออกจากร่างกายด้วย
ข้อดี: การดูดไขมันด้วย Vaser จะเจ็บแค่นิดเดียว หลังทำเสร็จจะไม่ค่อยมีบาดแผล หรืออาการบวม และใช้เวลาพักฟื้นไม่นานก็กลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้ตามเดิม
ข้อเสีย: อาจมีน้ำคั่งหลังผ่าตัด แต่แพทย์สามารถรักษาได้โดยการเจาะออก
2. การดูดไขมันด้วย Body Tite คือ การดูดไขมันด้วยการใช้คลื่นวิทยุและความร้อนในการกระชับผิว
ข้อดี: การทำวิธีนี้ไม่ค่อยเจ็บ มีแผลและรอยช้ำเล็กน้อยประมาณ 1 – 2 มิลลิเมตร ใช้เวลาพักฟื้นประมาณ 2 สัปดาห์ ที่สำคัญทำให้ต้นแขน และต้นขากระชับมากกว่าวิธีอื่น ๆ
ข้อเสีย: การดูดไขมันต้นแขน ต้นขาด้วย Body tite มีราคาที่สูงกว่าวิธีอื่นหลายเท่าตัว นอกจากนี้ยังไม่เหมาะกับบริเวณที่มีพังผืดเยอะ ๆ อีกด้วย
3. การดูดไขมันด้วย Water Jet วิธีการนี้มาจากแนวคิดที่ว่าการใช้น้ำช่วย จะทำให้ไขมันออกมานุ่มนวลมากกว่า ซึ่งเป็นการดูดไขมันที่กลับมานิยมในสมัยนี้อีกครั้งหลังจากมีมาสักพัก
ข้อดี: เซลล์ไขมันที่ถูกดูดออกมาด้วย Water Jet มีลักษณะที่สมบูรณ์ สามารถนำไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นต่อได้ เช่น ฉีดกลับเข้าตัวเพื่อซ่อมแซมส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย นอกจากนี้ยังไม่เจ็บมาก หรือไม่ต้องดมยาสลบอีกด้วย
ข้อเสีย: วิธีนี้อาจมีน้ำหรือไขมันตกค้างด้านในได้ แต่ไม่ต้องเป็นกังวล เพราะสามารถระบายออกได้หลังผ่าตัด
4. การดูดไขมันด้วย Laser คือการใช้คลื่นแสงเลเซอร์ไปทำลายเซลล์ไขมัน หลังจากนั้นจึงดูดไขมันออกจากร่างกาย
ข้อดี: มีอาการเจ็บและเสียเลือดเพียงเล็ก
ข้อเสีย: ไขมันส่วนที่ดูดด้วย Laser นั้นต้องมีปริมาณน้อยกว่า 200 cc. ซึ่งปากแผลและผิวหนังอาจเกิดการไหม้จากการทำได้
5. การดูดไขมันด้วย PAL หรือ เครื่องสั่น เป็นเครื่องที่ช่วยทุ่นแรงของแพทย์ เนื่องจากสามารถดูดไขมันได้รวดเร็ว
ข้อดี: นอกจากจะดูดไขมันได้เร็วขึ้นแล้ว ข้อดีอีกอย่างของ PAL คือทำให้การดูดไขมันส่วนที่ยากออกมาได้ง่ายขึ้นนั่นเอง
ข้อเสีย: ราคาเครื่อง PAL ค่อนข้างแพง ซึ่งถ้าเป็นเครื่องรุ่นเก่าจะมีเสียงดัง ทำให้คนไข้รู้สึกรำคาญได้ เนื่องจากตอนทำจะใช้ยาชา ไม่ใช้ยาสลบ
การดูดไขมันต้นแขน และต้นขา ควรใช้วิธีไหน?
การดูดไขมันต้นแขน และต้นขานั้น ขอแนะนำวิธี Body Tite เพราะเป็นวิธีที่ลดปัญหาหนังห้อยได้มากกว่าวิธีอื่น ๆ และทำให้ผิวกระชับอีกด้วย ซึ่งถ้าทำด้วยวิธีอื่นนั้นอาจจะทำให้ผิวหนังดูห้อยตรงต้นแขนและต้นขา นอกจากนี้ถ้าใช้วิธีผ่าตัดก็จะทำให้เกิดรอยแผลเป็นที่ยาวมาก วิธี Body Tite ที่ใช้คลื่นวิทยุและความร้อนจึงเป็นวิธีที่เหมาะสมมากที่สุดวิธีเตรียมตัวก่อนดูดไขมัน Body Tite
หลังจากอ่านข้อมูลวิธีการดูดไขมันต้นแขนและต้นขาไปแล้ว ตอนนี้เรามาดูวิธีการเตรียมตัวก่อนดูดไขมันบ้างดีกว่า
– เข้าปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ขอย้ำต้องเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการดูดไขมันด้วย เมื่อพบแพทย์ควรขอปรึกษาให้ถี่ถ้วน ละเอียดรอบคอบ และอย่าลืมแจ้งแพทย์ด้วยว่าคุณแพ้ยาอะไร หรือตอนนี้กินยาตัวไหนอยู่
– เข้าใจเรื่องภาวะแทรกซ้อน หากไปพบแพทย์ที่ไม่เชี่ยวชาญหรือขาดประสบการณ์ อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนระหว่างดูดไขมันได้ ถึงแม้จะดูดที่ต้นแขนหรือต้นขาก็ตาม ซึ่งภาวะแทรกซ้อนที่ว่าสามารถแบ่งได้ 3 ประเภท ดังนี้
– ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง ภาวะแทรกซ้อนนี้พบได้น้อยมาก แต่มักจะพบกับคนที่ดูดไขมันในปริมาณมากเกินไป ซึ่งอาจทำให้เสียเลือดและมีเซลล์ไขมันหลุดไปตามกระแสโลหิต (Fat Embolism) นอกจากนี้การให้ยาชาหรือ ยาสลบเกินขนาดก็ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงนี้ได้เช่นกัน
– ภาวะแทรกซ้อนทั่วไป หลังจากดูดไขมันที่ต้นแขน และต้นขา อาจมีรอยแผลเป็นเล็ก ๆ ประมาณ 1 – 2 มิลลิเมตร แต่จะหายเองหลังจากนั้น 2 สัปดาห์
– ภาวะแทรกซ้อนผิวหนังไม่เรียบ ภาวะนี้จะเกิดได้จากการดูดไขมัน ในบริเวณที่มีไขมันไม่มากหรือมีไขมันตื้นเกินไป แต่ยังไงก็ตามวิธีการ Body Tite สามารถลดความเสี่ยงจากปัญหานี้ไม่ให้เกิดขึ้นได้
– เตรียมพร้อมร่างกาย หากปรึกษาจนแน่ใจว่าไม่มีความเสี่ยงแล้ว ขั้นตอนต่อมาคือการเตรียมตัวก่อนดูดไขมันต้นแขน ต้นขา นั่นคืองดเครื่องดื่มมึนเมา และสารที่ก่อให้เกิดความผิดปกติต่อร่างกายหรือยานั่นเอง เช่น แอสไพริน ยาแก้ปวดบางชนิด รวมถึงอาหารเสริมบางประเภทอย่าง น้ำมันตับปลา วิตามินซี ควรงดอย่างน้อย 2 สัปดาห์ เนื่องจากการดูดไขมันจะใช้ยาชาในปริมาณจำนวนมาก และยาชาเหล่านั้นจะถูกส่งไปกำจัดที่ตับ ซึ่งถ้าตับทำงานหนักทั้งกำจัดยาชาและยาที่คนไข้ทาน จะทำให้การกำจัดยาชาช้าลงและส่งผลให้ยาชาเป็นพิษได้
ข้อควรปฏิบัติหลังดูดไขมัน
หลังจากที่ดูดไขมันต้นแขนและต้นขาแล้ว จะมีรอยฟกช้ำบางส่วน แต่ห้ามประคบเย็นให้ประคบอุ่นแทน ส่วนเรื่องการนวดนั้นสามารถทำได้เมื่อหายเจ็บหรือหลังจากนั้น 2 สัปดาห์ คนไข้สามารถออกกำลังกายได้ตามปกติหลังผ่าตัดจาก 2 สัปดาห์
นอกจากนั้นบางสถานพยาบาลหรือบางคลินิกมีชุดกระชับให้ใส่ด้วย เป็นเวลา 24 ชั่วโมง 3 วัน ตามแนวทางของสหรัฐอเมริกาเลย หลังจาก 3 วันแล้วให้ใส่ชุดกระชับเฉพาะกลางวันเท่านั้นอีก 4 สัปดาห์ ห้ามใส่นานกว่านี้เนื่องจากจะทำให้มีอาการบวมเกิดขึ้นได้
แนวทางการรับประทานอาหาร
แม้ว่าการดูดไขมันจะช่วยสลายไขมันสะสมในส่วนที่การควบคุมอาหารไม่สามารถช่วยได้ แต่อย่าลืมหากคุณกลับมาทานอาหารที่ให้พลังงานมากกว่าที่ต้องการในแต่ละวัน ไขมันสะสมก็จะกลับมา เพราะฉะนั้นควรเน้นทานอาหารสุขภาพเป็นพิเศษในช่วง 6 เดือน เพื่อให้ได้ผลและคุ้มค่ามากที่สุด
ข้อควรรู้อื่นๆ เกี่ยวกับการดูดไขมัน BeautyPlus
1. การดูดไขมัน ไม่ใช่การลดน้ำหนัก หลายคนเชื่อและเข้าใจผิดคิดว่าการดูดไขมันคือการลดน้ำหนัก แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่เลยค่ะ เพราะการดูดไขมันนั้นคือการเอาไขมันสะสมที่เป็นส่วนเกินเฉพาะส่วนออก เช่น ต้นแขน ต้นขา เอว พุง เป็นต้น
2. คนที่อยู่ในภาวะอ้วนไม่เหมาะกับการดูดไขมัน อย่างที่เราได้บอกไปก่อนหน้านี้ ว่าคนที่อยู่ในภาวะอ้วนไม่เหมาะกับการดูดไขมัน เพราะเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ แต่คำถามก็คือต้องน้ำหนักเท่าไหร่ถึงอยู่ในเกณฑ์ปกติ ซึ่ง Dr. Dirk Lazarus ศัลยแพทย์พลาสติกได้บอกไว้ว่า คนที่เหมาะกับการดูดไขมันนั้นต้องมีค่าดัชนีมวลกาย (BMI) น้อยกว่า 30
3. เก็บไขมันที่ถูกดูดออกไปฉีดใส่ตัวเองได้ เดี๋ยวนี้ทางการแพทย์มีวิทยาการฉีดไขมันเติมเต็มที่ใบหน้าตัวเองแล้ว เพราะจะช่วยทำให้ใบหน้าของคุณดูเด็กลง โดยไขมันส่วนใหญ่ที่ใช้ฉีดนั้นจะดูดจากต้นขาของตนเอง
4. อย่าลืมออกกำลังกาย ตามกลไกของร่างกายแล้ว เมื่อไขมันส่วนหนึ่งหายไป ไขมันส่วนอื่นอาจเพิ่มขึ้นแทนได้เพื่อให้ร่างกายเกิดความสมดุล นี่จึงเป็นเหตุผลที่คนไข้ควรควบคุมอาหารและออกกำลังกายอยู่เสมอ ถึงแม้จะดูดไขมันที่ต้นแขน ต้นขา ไปแล้วก็ตาม
5. ไขมันของผู้ชายมักดูดยากกว่าของผู้หญิง แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเทคนิคและวิธีการที่ใช้ดูดไขมัน และความเชี่ยวชาญของแพทย์ด้วยค่ะ
อย่างที่ทศแพทย์ได้ตอกย้ำเสมอ ก่อนที่คุณจะตัดสินใจทำศัลยกรรมอะไร ประเภทไหน ควรศึกษาหาข้อมูลรายละเอียดให้ครบถ้วน อาทิ แพทย์ผู้ผ่าตัด สถานพยาบาล การบริการ เพื่อช่วยให้คุณสามารถตัดสินใจได้ง่ายขึ้นค่ะ